เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเป็นสัจธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพวกเราไว้ “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” ธรรมะ เห็นไหม เขาบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เรามีธรรมชาติเป็นที่พึ่ง ธรรมชาติ ถ้าสภาพแวดล้อมที่ดี ชีวิตที่ดี “เธอจงมีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด” แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัติธรรม สัจธรรม เราเข้าใจทฤษฎีความเป็นไปของธรรมชาติแล้ววางมันไว้ เราเหนือธรรมชาติ เพราะเราไม่แปรปรวนไปกับมัน ธรรมชาติเป็นแบบนั้นไง

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำหัวใจของเราไง

หัวใจของเรา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน เครื่องหมายของคนดี ความกตัญญูกตเวที เวลาคนจีนเขามีเชงเม้งกัน เขาก็กลับไปเยี่ยมหลุมศพญาติของเขา กลับไปรวมญาติของเขา คนไทยก็สงกรานต์ สงกรานต์เราก็กลับไป กลับไประลึกถึงวันครอบครัว วันของผู้สูงอายุ เราก็กลับไป นี่ประเพณีวัฒนธรรม

ถ้าประเพณีวัฒนธรรม พระอรหันต์ของลูก เราได้ชีวิตนี้มาเพราะเรามีพ่อมีแม่ พ่อแม่ก็มีปู่ย่าตายาย ก็มีชาติมีตระกูลมา มันเป็นสายบุญสายกรรมมา ถ้าไม่มีสายบุญสายกรรมมา เราจะมาเกิดร่วมกันได้อย่างไร เรามีบุญ มีเวรมีกรรมต่อกันทั้งนั้นแหละ เราถึงได้มาเกิดร่วมกัน พระพุทธศาสนาบอกว่า คนเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่เคยเป็นเครือญาติกันมาภพชาติใดชาติหนึ่งไม่มี นี่การเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้น เราถึงเป็นญาติกันโดยธรรมไง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรามีปากมีท้องเหมือนกัน เราต้องมีหัวใจที่เป็นสาธารณะ สาธารณะที่ว่ายอมรับ ยอมรับความเห็นต่าง ถ้ายอมรับความเห็นต่าง สิ่งนี้มันทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข นี่สายบุญสายกรรม ฉะนั้น เราไปคารวะ เรามีน้ำใจ ทีนี้พวกเราปากกัดตีนถีบ จะกลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ เราก็ไม่มีเงินมีทองไป เราก็อับอาย เราไม่กล้าไป

พูดดีๆ ไม่ต้องเอาเงินทองไปให้พ่อแม่หรอก ถ้าบอกว่าหนูไม่มีเงินมีทอง แต่หนูมีน้ำใจกับพ่อแม่ หนูมาเยี่ยมพ่อแม่ เดี๋ยวพ่อแม่ให้กลับ พ่อแม่ให้กลับ ไม่ต้องเอาเงินไปให้ท่านหรอก ท่านจะให้เงินเรากลับมาเลย เพราะพ่อแม่เขาอยากเห็นหน้า พ่อแม่เขาอยากเห็นเรา พ่อแม่เขามีความระลึกถึง แล้วเราไม่มาเยี่ยมมาเยียนกันเลย ไม่เยี่ยมเยียนกันเลยโดยที่เรามีความจำเป็นไง เราอาย เราไม่มีสิ่งใดติดไม้ติดมือไปฝากพ่อแม่ของเรา เราก็ไม่กล้าไปสู้หน้าพ่อแม่ของเรา

แต่ถ้าเราสู้ความจริง เห็นไหม เราก็ทำดีที่สุดแล้ว เราทำได้แค่นี้ เรามา มีน้ำใจต่อกัน ถ้ามีน้ำใจต่อกัน พ่อแม่กลับมาเห็นใจเรานะ ถ้าพ่อแม่เห็นใจเรา นี่เพราะเรารักษา รักษาสถานะทางสังคมจนเกินไป เราไม่พูดความจริงต่อกัน ถ้าเราพูดความจริงต่อกันนะ คนให้อภัยกันได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าคนให้อภัยกันได้ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เรามีพระอรหันต์ของเรา เราไปเยี่ยมพระอรหันต์ของเรา

ฉะนั้น ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ของเรา เห็นไหม การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ ความเห็นสมณะ เห็นครูบาอาจารย์ ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้าหัวใจท่านมีหลักมีเกณฑ์ ท่านจะพูดถึงสัจจะอันนั้น สัจจะวิธีการที่จะเข้าไปสัมผัสสมณะอันนั้น แล้วมีความสงบของใจ

เราเป็นปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส เราควบคุมหัวใจของเราไม่ได้ เราไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ของเรา เพราะเราเป็นชาติเป็นตระกูล เรามีสายบุญสายกรรมต่อกัน เราระลึกถึงได้ เราไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ของเราได้ แต่เวลาเราเห็นสมณะ เรารู้ว่าอันไหนเป็นสมณะแท้หรือสมณะไม่แท้ล่ะ สมณะยังมีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นมงคลชีวิต ถ้าเราจะรู้ว่าสมณะแท้หรือไม่แท้

เราพยายามกำหนดพุทโธของเรา เราพยายามทำปัญญาอบรมสมาธิของเรา เราจะทำความสงบของใจของเราเข้ามา ถ้าใจของเราสงบเข้ามา จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน เราจะเข้าไปสัมผัสวิธีการเข้าไปสู่สมณะ สมณะที่ ๑ คือความสงบระงับในความเป็นจริงในใจดวงนั้น ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเราไม่รู้ว่าสมณะอยู่ที่ไหน เราหาครูบาอาจารย์ของเรา นี่เป็นมงคลชีวิต เราเห็นสมณะข้างนอกเป็นมงคลชีวิตจริงๆ เพราะสิ่งนั้นมันหามาได้ยากมาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดขึ้นมา เวลาเทศนาว่าการ “เราเป็นคนวาสนาน้อย ชีวิตของเราแค่ ๘๐ ปีเท่านั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ๘๐,๐๐๐ ปี” เพราะอะไร เพราะท่านสร้างสมบุญญาธิการของท่านมา ๑๖ อสงไขย ๑๖ อสงไขยสร้างบารมีมากกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรากี่เท่า ๔ อสงไขย ๙ อสงไขย ๑๖ อสงไขย กี่เท่า ๔ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์มา ๔ อสงไขย แสนมหากัป ถึงได้มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นทุนมันต่างกันไง ต้นทุนต่างกัน แต่ความสะอาดบริสุทธิ์มันเหมือนกันไง สมณะเหมือนกัน เป็นสมณะแท้ๆ เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกัน แตกต่างกันโดยที่บุญญาธิการอันนั้นที่จะมารื้อสัตว์ขนสัตว์นี่ไง

ความรื้อสัตว์ขนสัตว์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สร้างมา ๑๖ อสงไขย มันจะสะดวก มันจะมีความเข้าถึงได้ง่ายกว่า ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เรามีอำนาจวาสนาน้อย เพราะเราสร้างวาสนามาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี แต่วางธรรมวินัยไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี

เราเห็นสมณะ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นมงคลกับชีวิต เราได้เห็นๆ ถ้าเราได้เห็น วางไว้ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีศรัทธามีความเชื่อ เพราะมีศรัทธาอันนั้น ศรัทธานี้เป็นรถจักรลากเราเข้ามาให้ฟังธรรม

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเรื่องอะไร? ก็ฟังธรรมตอกย้ำเรื่องหัวใจเรานี่ เกิด แก่ เจ็บ ตายนี่ แล้วทำอย่างไรมันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายล่ะ

เกิด แก่ เจ็บ ตายมันเป็นความทุกข์ นี่ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำที่นี่ แต่เราทำบุญกุศลกันมา เราอยากร่ำอยากรวย อยากมั่งมีศรีสุข

คนที่มีคุณธรรม ความมั่งมีศรีสุขอันนั้นก็เป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น แต่ถ้าคนเราจิตใจมันหยาบมันช้า มันมั่งมีศรีสุขมาด้วยความทุจริตขึ้นมา แล้วยังทำจิตใจให้เศร้าหมอง นั่งทับกองกรรมอันนั้นไว้ไง กรรมที่สร้างไว้ มันนั่งทับเอาไว้ วันใดจะให้ผลมาก็ไม่รู้ มันมีความสุขไหมล่ะ

แต่ถ้าเรามีความสุขของเรา การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฟังธรรมๆ ฟังธรรมตอกย้ำที่นี่ ฟังธรรมตอกย้ำที่นี่ เห็นไหม เห็นสมณะ แล้วเราพยายามรักษาจิตใจให้เป็นสมณะ เรากลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ พระอรหันต์ของเรา เราได้อุปัฏฐาก เราได้ดูแลรักษา อันนี้ทิ้งไม่ได้นะ เพราะมันเป็นการการันตีว่าเราเป็นคนดีหรือคนเลว

เครื่องหมายของคนดีคือการกตัญญูกตเวที เครื่องหมายของคนดีกับเครื่องหมายของคนเลว

เครื่องหมายของคนเลว มันทิ้งมันขว้าง มันไม่ดูมันไม่แล แล้วต่อไปนะ กรรมมันติดจรวดไล่ไปถึงตัวของมันนะ มันก็ไปเสียใจ ทำไมเรามีลูกมีเต้า ทำไมลูกเต้าไม่มาดูแลเรา

ก็เอ็งทำมาอย่างนั้น เอ็งทำมาอย่างนั้น แต่เอ็งทำคุณงามความดีของเรา เครื่องหมายของคนดี ทำแล้วมันได้ดีอยู่แล้วแหละ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว มันได้ดีของมันโดยสัจจะของมัน มันเป็นเครื่องหมายเพราะอะไร เพราะผลของวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์มันเห็นกันด้วยตาเนื้อไง ตาเนื้อเห็นกันได้ที่นี่ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีญาณทัสสนะ ญาณทัสสนะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ส่งเข้าไป จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ พระองคุลิมาลต้องการวิชาการอันนั้น โดยอาจารย์บอกว่าต้องเอา ๑,๐๐๐ นิ้วมือมาแลก แล้วได้มา ๙๙๙ นิ้วมือแล้ว ยังขาดอีกนิ้วมือเดียว มันอยากได้มาก อยากได้มาก

ดูสิ กษัตริย์ พระเจ้าพิมพิสารจะเอากองทัพไปปราบ แม่รู้ข่าวเข้า แม่ก็เป็นห่วงลูก แม่ก็จะไปบอกลูกก่อน ไอ้ลูกก็คิดว่านิ้วสุดท้ายๆ ถ้าแม่มาวันนี้จะได้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว จะได้วิชาการเสียที แม่ก็เป็นห่วงลูก ก็จะไปหาลูก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณว่าองคุลิมาลเป็นคนดีคนหนึ่งที่เขามีจิต มีอำนาจวาสนาจะบรรลุธรรมได้ แต่เพราะไปคบมิตรไม่ดี ไปคบอาจารย์ไม่ดี ไปคบอาจารย์ของเขา อาจารย์ของเขาตระหนี่ หวง อยากจะทำลายลูกศิษย์ แต่ไม่กล้าทำด้วยตัวเอง ออกอุบายให้ไปฆ่าคน แล้วคิดว่าต้องมีคนมาฆ่าองคุลิมาลแน่นอน นี่ความเห็นของอาจารย์ของเขา

องคุลิมาลเป็นคนซื่อ เป็นคนดี แต่ด้วยการทำมากเข้าๆ จิตใจมันก็กระด้างไปอย่างนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเขามีโอกาส ไปเอาคนนั้นก่อน รื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ เล็งญาณ เห็นไหม เราเห็นด้วยตาเนื้อ เราอุปัฏฐากพ่อแม่ของเรา ดูแลพ่อแม่ของเรา ก็ว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าคนที่ไม่ทำ เขาว่าคนนั้นเป็นคนชั่ว เวลาเห็นสมณะๆ จิตใจของเราที่มันหยาบช้า จิตใจที่มันคิดร้อยแปดพันเก้ามันจะทำอย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ ฉะนั้น เวลาพวกเราพระปฏิบัติไปหาครูบาอาจารย์ ถึงบอกว่า “พ่อแม่ครูจารย์” พ่อแม่คือเลี้ยงดูร่างกายไง ครูบาอาจารย์เลี้ยงดูจิตใจไง ลูกของเรา เราปรารถนาให้ลูกเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ แล้วเราสอนมัน มันฟังเราไหมล่ะ มันเถียงด้วย มันโต้แย้งด้วย แต่นี่ก็กรรมของสัตว์ ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาเล็งญาณไปแล้ว ปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยญาณทัสสนะ ด้วยความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนั้น ไปโปรดสัตว์ ไปโปรดองคุลิมาลก่อน ลอยไปนะ ด้วยฤทธิ์ องคุลิมาลเขามีวิชาอันหนึ่ง เขาวิ่งได้เร็วมาก ม้าตัวใดที่มีฝีเท้าจัดขนาดไหน จะวิ่งหนีองคุลิมาลไม่ได้ องคุลิมาลเขาจะวิ่งได้เร็วมาก ใครมาเขาจะทำร้ายได้หมด ฉะนั้น เวลาเขามีความเชื่อมั่นของเขาอย่างนั้น แต่เวลามาเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านลอยไป วิ่งเร็วขนาดไหน ใช้ความสามารถสุดฤทธิ์ขนาดไหนมันไม่ทัน มันไม่ทัน นี่ทรมาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมาน

เขาก็แปลกใจ องคุลิมาลก็เอะใจ เพราะว่าธรรมดาจะไม่มีใครรอดพ้นจากฝีเท้าการวิ่งขององคุลิมาลได้ เขามีวิชาพิเศษอันนี้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ลอยไปๆ

“สมณะหยุดก่อน” เพราะมันทำอะไรไม่ได้แล้ว ตะโกนแล้ว “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

เวลาเทคนิคคำสอน เทคนิคที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีคุณสมบัติของท่าน “เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด”

แล้วคนที่มันวิ่งอยู่มันหยุดได้อย่างไรล่ะ วิ่งขนาดนี้ยังไม่ทันเลยบอกหยุด

“เราหยุดแล้วเธอยังไม่หยุด” เห็นไหม จะหักมุม

องคุลิมาลถามว่า “หยุดได้อย่างไรล่ะ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราหยุดทำความชั่ว เราหยุดทำความชั่วทุกๆ อย่าง เธอยังทำความชั่วอยู่ เธอยังฆ่าอยู่ เธอยังฆ่าอยู่”

คนมันมีเม็ดใจ คือจิตใต้สำนึกที่ดีมันสำนึกได้ แต่คนที่มันด้านนะ พอยิ่งพูดอย่างนี้ยิ่งโกรธยิ่งแค้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราหยุดแล้ว”

“หยุดจากอะไร”

“หยุดจากการทำความชั่ว เธอต่างหากยังไม่หยุด เธอยังตามล้างตามผลาญ เธอยังฆ่าอยู่”

มันสลดใจนะ วางมีดลง วางดาบลง ขอขมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนมาก็ได้ถามพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ถ้าเราไปเอาองคุลิมาลกลับมาแล้วจะทำโทษเขาอีกไหม จะทำอะไรเขาไหม ถ้าเอากลับมาได้ไง พอไปถึงแล้ว องคุลิมาลวางดาบ แล้วขอบวช บวชกลับมา เอากลับมาฝึกจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เห็นไหม นี่เวลารื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยญาณทัสสนะ

เราได้สัมผัสสมณะ เราอยากแตะสมณะ เพราะสมณะเป็นมงคลชีวิต แล้วมงคลชีวิต ในชีวิตเราจะมีมงคลอย่างนี้ไหม ถ้ามีมงคลนะ เราต้องมีความหมั่นเพียร ต้องมีสติ ต้องบังคับ บังคับไอ้นามธรรม บังคับความรู้สึกด้วยสติ พุทโธๆๆ เอามันให้อยู่ เอามันให้อยู่

แต่ตอนนี้เขามีข้อเสนอใหม่ๆ ไง “ไม่ต้อง สมถะไม่ต้องทำ ใช้ปัญญาไปเลย”...โลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส ปัญญาของอวิชชา เรามีความไม่รู้ในหัวใจของเรา เรามีอวิชชาอยู่ในใจ แล้วอวิชชามันเอาความรู้สึกไปศึกษา ใช้ปัญญาของมัน มันมีอวิชชาครอบงำ หลวงตาใช้คำว่าสมุทัยมันเจือมาด้วย สมุทัยเจือปนมา มันมีสมุทัยเจือปนมา จะศึกษา จะค้นคว้า จะมีตรรกะ จะมีปัญญาขนาดไหน ไม่สะอาดบริสุทธิ์ได้ ไม่เป็นมรรคขึ้นมาได้

แต่เราพุทโธๆๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันสงบ เห็นไหม สงบเพราะอะไร นี่ไง สมณะๆๆ เราเห็นสมณะ เห็นไหม สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าจิตมันสงบเข้าไป พอจิตมันสงบเข้าไป โอ้โฮ! มันรู้เอง

ชื่อว่าสมาธิเขียนไว้ ตำราก็อ่านไว้ สมาธิมีคุณสมบัติอย่างนั้น ทุกอย่างมีคุณสมบัติอย่างนี้ แต่มันไม่รู้หรอก แต่พอมาเจอเข้า เจอเข้าก็ยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่ตัวเองจับต้องยังไม่รู้เลย เพราะใครเจอใหม่ๆ งงนะ จะไปถามครูบาอาจารย์ อันนี้เป็นอย่างไร อันนี้เป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่จิตใจมันยอมรับ แต่มันอธิบายไม่ได้ มันเหนือโลก เห็นไหม มันเหนือโลก ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าเป็นมิจฉานะ พอมันเป็นสมาธินะ เรามีสติรู้พร้อมนะ มันเวิ้งว้าง มันว่างนะ มันว่าง...เวิ้งว้าง มันว่าง ใครเป็นคนรู้ ใครเป็นคนสร้างอารมณ์นี้ อารมณ์นี้ไง ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม ความคิดไม่ใช่จิต ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากจิต เกิดดับๆ บนจิต แล้วเวลามันเวิ้งว้างนี่เป็นความคิดไหม เป็นอารมณ์สร้างไหม? อารมณ์ว่างไง

เวลาอารมณ์ที่มันกีดขวางตัวเอง อารมณ์ที่มันเหยียบย่ำตัวเองก็เป็นอารมณ์หนึ่ง เวลาว่างๆ นี่ก็เป็นอารมณ์หนึ่ง แต่ถ้ามันพุทโธๆ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิมันเป็นเนื้อแท้ มันว่างไหม มันพูดไม่เป็น มันพูดไม่ได้ ถ้าพูดไม่ได้ ถ้าจิตสงบแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าออกฝึกหัดใช้ปัญญา ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติมรรคที่ไหน

เขาบอกว่า “การปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นสติปัฏฐาน ๔”

สติปัฏฐาน ๔ ปลอมๆ ไง สติปัฏฐาน ๔ โดยสัญญาไง สติปัฏฐาน ๔ โดยสัญญาอารมณ์ไง สติปัฏฐาน ๔ โดยนึกเอาไง สติปัฏฐาน ๔ โดยสร้างภาพเอาไง เพราะจิตมันปลอม จิตมันปลอมเพราะอะไร จิตมันปลอมเพราะมันไม่เป็นสัมมาสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตทั้งหมด ปัญญาเกิดจากสร้างเอาทั้งหมด

แต่ถ้ามันเกิดจิตสงบแล้วเป็นสัมมาสมาธิ ไม่มีสมุทัยเจือปนเข้ามา ถ้ามันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง จิตมันสงบแล้วมันเป็นสมณะ มันมีความสงบระงับ แล้วมันออกทำงานเป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าโสดาปัตติมรรคมันพิจารณาแยกแยะของมันไป ด้วยปัญญาของมัน ถ้ามันถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ามันปล่อยวางๆ ก็เป็นตทังคปหาน คือของชั่วคราว คือวิธีการปฏิบัติ วิธีการแยกแยะ วิธีการฝึกหัด วิธีการเพื่อความชำนาญ คนทำงานทำการต้องมีความชำนาญ มีการแยกแยะจนชำนาญ ชำนาญถึงที่สุดมันสมดุล ความสมดุลของมันเป็นสมุจเฉทปหาน ไม่ใช่ตทังคปหาน

เวลามันขาด สมณะที่ ๑ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นสมณะที่ ๑ แล้วมีสติมีปัญญาก้าวเดินต่อไป เข้าสู่สกิทาคามิมรรค พิจารณาถึงต่อเนื่องไปจนมันขาดเป็นสกิทาคามิผล เป็นสมณะที่ ๒ ถ้าสมณะที่ ๒ พิจารณาต่อเนื่องไป ถ้ามีปัญญาขึ้นไป จะจับต้องขึ้นไป เป็นอสุภะขึ้นไป มันเป็นอนาคามิมรรค พิจารณาอนาคามิมรรค มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันจะหลอกลวงขนาดไหนก็ต่อสู้มัน แยกแยะของมันไป มันรุนแรงของมันไปจนถึงที่สุดแล้วเวลามันขาด กามราคะ-ปฏิฆะขาดไป เห็นไหม สมณะที่ ๓

แล้วพิจารณาต่อเนื่องไป ถ้าจับตัวจิตได้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตที่ไม่มีอารมณ์ จิตที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด จิตที่ไม่มีความกระทบต่างๆ ตัวมันแท้ๆ ตัวของมันเอง ตัวมันที่ไม่กระทบอะไรเลย ตัวที่มันอยู่ของมันใสๆ นั่นน่ะ ที่เป็นธรรมชาตินั่นน่ะ ถ้าไปจับตัวมันได้ อรหัตตมรรค พิจารณาถึงที่สุด ทำลายมัน ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายสถานที่ ทำลายชื่อ ทำลายสิ่งที่มีอยู่ ทำลายต้นขั้ว ทำลายถึงที่สุด เวลาทำลายแล้ว เห็นไหม สมณะที่ ๔ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความซาบซึ้งใจไง

ใครได้สมณะที่ ๑ เวลากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กราบแล้ว อีก ๓ สมณะยังสงสัยอยู่ ได้สมณะที่ ๒ ก็ยังสงสัยสมณะที่ ๓ ที่ ๔ อยู่ ได้สมณะที่ ๓ แล้ว สมณะที่ ๔ ก็ยังไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจทะลุปรุโปร่งไปแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายนะ อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในหัวใจดวงนั้นจบสิ้นไป นั้นคือการได้สัมผัสสมณะ

ฉะนั้น วันนี้วันพระ เป็นประเพณีวัฒนธรรม เราก็ได้เยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ เราก็ได้ทำเครื่องหมาย กิริยา ทำเครื่องหมายวัฒนธรรมประเพณี เราก็ได้ดูแลพ่อดูแลแม่ของเรา ได้เห็นหน้าเห็นตา ทั้งๆ ที่ว่าครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันต้องไปเยี่ยมที่ไหน ก็อยู่เป็นครอบครัวเดียวกันนี่ แต่ให้รู้สถานะไง วันนี้วันสำคัญ พ่อก็เรียกแม่ แม่ก็เรียกลูก ลูกก็เรียกพ่อ พ่อก็เรียกลูก รู้สถานะว่าใครเป็นลูก ใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ไง มันมีสถานะของมัน ถ้าสถานะของมัน เราได้ทำประเพณีวัฒนธรรมแล้ว เราฟังธรรมๆ

วันนี้วันพระ เราจะเห็นสมณะ ถ้าเราได้เห็นแล้วเป็นบุญกุศล แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นความจริงในหัวใจขึ้นมา ใจเราเป็นสมณะเอง “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” จิตใจอันนี้จะเป็นธรรม ธรรมอันนี้อยู่ในหัวใจของเรา แล้วกิริยา ทฤษฎีที่เขาศึกษากัน เขาเถียงกันปากเปียกปากแฉะ เรายืนดูเขาแล้วก็ขำๆ...บ้า บ้าห้าร้อยจำพวก มันยังบ้าเงากันอยู่ มันยังบ้าเงา ตื่นเงา เถียงกันเรื่องเงาอยู่ เราเข้าถึงสมณะ เราอยู่กับสมณะ เห็นแล้วมันขำๆ เอวัง